prdmsc@dmsc.mail.go.th  0-2589-9850 
<< ย้อนกลับ

โรคไตเรื้อรัง

การตรวจเพื่อการคัดกรอง

แนะนำการตรวจคัดกรองในผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคไตเรื้อรัง ดังนี้ 

      • โรคเบาหวานชนิดที่ 1 ที่ได้รับการวินิจฉัยมานานตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป 

      • โรคเบาหวานชนิดที่ 2 ตั้งแต่เริ่มแรกวินิจฉัย

      • โรคความดันเลือดสูง

      • อายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป

      • โรคแพ้ภูมิตนเอง (autoimmune diseases) ที่อาจก่อให้เกิดไตผิดปกติ

      • โรคติดเชื้อในระบบต่างๆ (systemic infection) ที่อาจก่อให้เกิดโรคไต

      • โรคหัวใจและหลอดเลือด (cardiovascular disease)

      • ประวัติติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะส่วนบนซ้ำหลายครั้ง

      • โรคเกาต์ หรือมีระดับกรดยูริคในเลือดสูง

      • ได้รับยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs หรือสารที่มีผลกระทบต่อไต (nephrotoxic agents) เป็นประจำ

      • ประวัติโรคไตในครอบครัว โดยเฉพาะรายที่มีประวัติโรคไตวายหลายรายในครอบครัว, โรคถุงน้ำในไต, Alport syndrome

      • ประวัติโรคนิ่วในทางเดินปัสสาวะ หรือโรคที่ทำให้มีการอุดกั้นของทางเดินปัสสาวะ

      • มีมวลเนื้อไต (renal mass) ลดลงหรือมีไตข้างเดียวทั้งที่เป็นมาแต่กำเนิดหรือเป็นในภายหลัง

      - ตรวจค่า Creatinine อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อประเมินอัตราการกรองไต โดยคำนวณด้วยสมการ CKD-EPI (Chronic Kidney Disease Epidemiology Collaboration)

      - ตรวจ Urine analysis ปีละ 1 ครั้ง เพื่อประเมินการรั่วของแอลบูมินในปัสสาวะ เม็ดเลือดแดง หรือตะกอนผิดปกติอื่นๆ

ในผู้ป่วยเบาหวานและ/ หรือความดันโลหิตสูงที่ตรวจไม่พบโปรตีนรั่วทางปัสสาวะด้วยแถบสีจุ่ม ควรพิจารณาตรวจเพิ่มด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งดังนี้ 

      - ตรวจ urine albumin creatinine ratio (UACR)

       * ไม่แนะนำให้ส่งตรวจทางรังสี (plain KUB) และ/หรือการตรวจอัลตราซาวนด์ (ultrasonography of KUB) ในผู้ป่วยทุกราย ควรทำตามข้อบ่งชี้ในแต่ละราย

      - ตรวจปัสสาวะแบบจุ่มด้วยแถบสีสำหรับ albumin/creatinine ratio (semiquantitative)

ในรายที่พบภาวะ albuminuria ≥ 30 mg/g creatinine ควรส่งตรวจซ้ำอีก 1-2 ครั้งใน 3 เดือน หากพบ ≥ 2 ครั้ง วินิจฉัยว่ามีภาวะโรคไตเรื้อรัง

 

 

การตรวจเพื่อการวินิจฉัย

      - ตรวจ creatinine และคำนวณด้วยสมการ CKD-EPI เพื่อประเมินอัตราการกรองไต (eGFR)

      - ตรวจ cystatin C ในเลือด เพื่อประเมินค่า eGFR จาก CKD-EPI creatinine-cystatin C หรือ ตรวจ creatinine clearance จากการเก็บปัสสาวะ 24 ชั่วโมง ในผู้ป่วยที่    มีค่า eGFR ระหว่าง 45-59 ml/min/1.73m2 และไม่พบความผิดปกติของไตจากการตรวจอื่นๆ

     - ตรวจ urine analysis เพื่อประเมินการรั่วของแอลบูมิน และเม็ดเลือดแดงในปัสสาวะ

* ไม่แนะนำให้ตรวจปัสสาวะ 24 ชั่วโมงเพื่อคำนวณ creatinine clearance และ cystatin C ในเลือด ในผู้ป่วยทุกราย ควรตรวจเฉพาะในรายที่มีปัจจัยรบกวนการตรวจ ค่า creatinine

 

 

 การตรวจเพื่อติดตามผลการรักษา   

 ผู้ป่วยที่มีโปรตีนรั่วในปัสสาวะ ควรได้รับการตรวจวัดปริมาณของโปรตีนที่รั่วในปัสสาวะเพื่อใช้ในการติดตามผลการรักษา ดังนี้ 

      - urine albumin to creatinine ratio (UACR) 

      - ในรายที่พบ albuminuria > 1 g/day หรือตรวจพบแอลบูมินรั่วจากวิธีแถบสีจุ่ม สามารถใช้การตรวจ urine protein to creatinine ratio (UPCR) แทนได้ 

      - ตรวจติดตามอัตราการกรองไต จากการตรวจค่า creatinine และ protein ในปัสสาวะ (UACR หรือ UPCR) ตามระยะของโรคไตเรื้อรัง ดังนี้

         • โรคไตเรื้อรังระยะที่ 1 และ 2 ควรติดตามอย่างน้อยทุก 1 ปี 

            (ทุก 6 เดือน หากตรวจพบ ACR ≥300 mg/g หรือ PCR ≥500 mg/g)

         • โรคไตเรื้อรังระยะที่ 3 ควรติดตามอย่างน้อยทุก 6 เดือน 

            (ทุก 4 เดือน หากตรวจพบ ACR ≥ 300 mg/g หรือ PCR ≥ 500 mg/g)

         • โรคไตเรื้อรังระยะที่ 4 ควรติดตามอย่างน้อยทุก 4 เดือน 

             (ทุก 3 เดือน ถ้าตรวจพบ ACR ≥ 300 mg/g หรือ PCR ≥ 500 mg/g)

         • โรคไตเรื้อรังระยะที่ 5 ควรติดตามอย่างน้อยทุก 3 เดือน

      - ตรวจติดตามอัตราการกรองไตและระดับ potassium ในเลือดในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังที่ได้รับยากลุ่ม Renin-angiotensin aldosterone system blockade ดังนี้ 

          1) เมื่อมีการเริ่มยาหรือปรับขนาดยา

               • eGFR > 60ml/min/1.73m2 ติดตามทุก 4- 12 สัปดาห์

               • eGFR 30-59 ml/min/1.73m2 ติดตามทุก 2-4 สัปดาห์

               • eGFR < 30 ml/min/1.73m2 ติดตามทุก < 2 สัปดาห์

         2) เมื่อความดันโลหิตถึงเป้าหมายและขนาดยาคงที่

               • eGFR > 60ml/min/1.73m2 ติดตามทุก 6-12 เดือน

               • eGFR 30-59 ml/min/1.73m2 ติดตามทุก 3-6 เดือน

               • eGFR < 30 ml/min/1.73m2 ติดตามทุก 3 เดือน

      - HbA1c ส่งตรวจอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง ในผู้ป่วยเบาหวานที่มีภาวะโรคไตเรื้อรังทุกระยะในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังที่มีอัตราการกรองไตน้อยกว่า 30 ml/min/1.73m2 หรือมีภาวะซีด เลือดเป็นกรด การได้รับยากระตุ้นเม็ดเลือดแดง การได้รับเหล็ก อาจทำให้ค่า HbA1c มีความแม่นยำลดลง ควรพิจารณาร่วมกับระดับกลูโคสในเลือดหรืออาการทางคลินิก

ในผู้ป่วยที่ระดับ HbA1c ไม่สอดคล้องกับระดับน้ำตาลในเลือดหรือมีความเสี่ยงต่อภาวะน้ำตาลต่ำ ควรมีการติดตามระดับน้ำตาลโดยวิธีวัดน้ำตาลในเลือดด้วยตนเองร่วมด้วย (self monitoring of blood glucose: SMBG)

* ไม่แนะนำให้ใช้ Glycated albumin และ fructosamine ในการติดตามระดับน้ำตาลในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง

      - ตรวจเลือดวัดระดับความเข้มข้นของ Hb ในผู้ป่วยที่ไม่มีภาวะโลหิตจาง 

         • โรคไตเรื้อรังระยะที่ 3 ควรตรวจอย่างน้อยทุก 1 ปี

         • โรคไตเรื้อรังระยะที่ 4-5 ควรตรวจอย่างน้อยทุก 6 เดือน ในผู้ป่วยที่มีภาวะโลหิตจาง ร่วมกับโรคไตเรื้อรังระยะที่ 3-5 ควรตรวจอย่างน้อยทุก 3 เดือน

      - ส่งตรวจ Serum ferritin, Serum iron, total iron-binding capacity (TIBC), และ percent transferrin saturation (TSAT) เพื่อประเมินภาวะขาดธาตุเหล็ก ทุก 3-6    เดือน ในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังที่ได้รับยากระตุ้นเม็ดเลือดแดง 

       * ไม่ควรส่งตรวจประเมินภาวะขาดธาตุเหล็ก ในผู้ป่วยที่ได้รับเลือด หรือมีภาวะการติดเชื้อ

      - ควรวัดระดับ calcium, phosphate, intact parathyroid hormone (iPTH) และ alkaline phosphatase ในเลือดในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังที่มีค่า eGFR น้อยกว่า 45          ml/min/1.73m2 (ระยะที่ 3b-5) 

          • โรคไตเรื้อรังระยะ 3b ตรวจ calcium, phosphate ทุก 6-12 เดือน

          • โรคไตเรื้อรังระยะ 4 ตรวจ calcium, phosphate ทุก 3-6 เดือน และ iPTH ทุก 6-12 เดือน

          • โรคไตเรื้อรังระยะ 5 ตรวจ calcium, phosphate ทุก 1-3 เดือน และ iPTH ทุก 3-6 เดือน

 

 

การประเมินโภชนาการในโรคไตเรื้อรัง

       - ตรวจ serum albumin ทุก 6 เดือน

       - เก็บปัสสาวะ 24 ชั่วโมง คำนวณหาค่า normalized protein equivalent of nitrogen appearance (nPNA) ทุก 6 เดือน (ในกรณีที่ไม่สามารถตรวจหาค่า nPNA อาจใช้วิธี dietary recall หรือ food record ทดแทน)