prdmsc@dmsc.mail.go.th  0-2589-9850 
<< ย้อนกลับ

การตรวจเพื่อการวินิจฉัย

การตรวจเพื่อการวินิจฉัย โดยทั่วไป

      - Venous plasma glucose (fasting หรือ random)

      - Oral Glucose Tolerance test (OGTT)

        (ในการตรวจ OGTT ผู้ป่วยควรรับประทานคาร์โบไฮเดรตอย่างน้อย 150 g/day เป็นระยะเวลา 3 วันก่อนการตรวจ (แนะนำให้รับประทานอาหารปกติ ไม่งดหรือลดแป้ง เพื่อป้องกันผลบวกลวง)

      - HbA1c 

       (การวินิจฉัย และติดตามผลการรักษา โรคเบาหวานโดยใช้ HbA1c ต้องเป็นวิธีที่บริษัทผู้ผลิตได้รับการรับรองจาก National Glycohemoglobin Standardization Program (NGSP) และควรเข้าร่วมการทดสอบความชำนาญกับ PT provider ที่ดำเนินการสอดคล้องตามมาตรฐาน ISO/ IEC 17043 และควรเปรียบเทียบค่ากับ target value (accuracy-based PT program) การใช้ HbA1c ควรคำนึงถึง racial และ ethnicity ด้วย Hemoglobin variants บางชนิด อาจมีผลรบกวนต่อค่า HbA1c)

         • เฉพาะผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 เพิ่ม 

      -  Antibody: anti-GAD , IA-2, ZnT8 

         (การตรวจ Antibody ไม่จำเป็นต้องตรวจครบทั้ง 3 ตัว ถ้าผลตรวจ Anti-GAD negative ให้ส่งตรวจ IA-2 และ ZnT8 เพิ่มเติม)

      -  C-peptide ในกรณีที่ไม่สามารถตรวจ Antibody 

         (การตรวจ C-peptide ให้ตรวจ 3 เดือนหลังเกิด DKA)

      -  ารทำงานของต่อมธัยรอยด์  TSH, FT4

         • ผู้ที่วินิจฉัยโรคเบาหวานก่อนอายุ 30 ปี กรณีที่ยังไม่สามารถระบุการวินิจฉัยที่แน่นอน อาศัยการตรวจเพิ่มเติม

         * ไม่ส่งตรวจ C-Peptide และ Anti-GAD หากลักษณะทางคลินิกชัดเจน

         * ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานก่อนอายุ 30 ปี ถ้ามีลักษณะของเบาหวานชนิดที่ 2 ชัดเจน ไม่จำเป็นต้องตรวจ C-peptide

      - C-peptide 

      - Molecular genetic study เพื่อวินิฉัยโรคทางพันธุกรรมที่เกิดจากยีนเดี่ยว ได้แก่ neonatal diabetes, maturity-onset diabetes of the young (MODY) แนะนำให้ตรวจ

ในกรณีที่มีลักษณะครบ 3 ข้อดังนี้

         1. วินิจฉัยว่าเป็นเบาหวานก่อนอายุ 30 ปี

         2. มี first degree relative อย่างน้อย 2 generation เป็นโรคเบาหวาน

         3. ไม่มีลักษณะทางคลินิกของโรคเบาหวานชนิดที่ 1 และ 2 อย่างชัดเจน

         * เบาหวานชนิดที่ 2 ชัดเจน ไม่จำเป็นต้องตรวจ C-peptide